
หลายคนคงเคยได้ยิน เรื่อง กฎหมายว่า… ด้วย ทรัพย์อิงสิทธิ กันมาบ้าง แต่ด้วยชื่อเรียกอาจจะทำให้เข้าใจยาก และไม่น่าทำความเข้าใจเอาเสียด้วย ในบทความนี้ Property4Cash จึงนำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายที่ว่า… ด้วยทรัพย์อิงสิทธิ มาย่อยให้เข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อนกันค่ะ
ทำความเข้าใจว่า “ทรัพย์” คืออะไร?
ก่อนจะพูดถึงทรัพย์อิงสิทธิ ควรทำความเข้าใจกันก่อนว่า… “ทรัพย์” คืออะไรมีความหมายอย่างไร?
คำว่า “ทรัพย์” ถูกให้ความหมายไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 137 ว่า “ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง”
ส่วนอีกคำหนึ่งที่เรามักพบกันบ่อยคือ “ทรัพยสิทธิ” ซึ่งคำคำนี้ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดให้ความหมายไว้โดยตรง เพียงแต่ถูกกล่าวถึงไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1298 ว่า “ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ว่า… จะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น”
ทรัพยสิทธิ หมายถึง สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์ คือ สิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์ เช่น กรรมสิทธิ์, สิทธิครอบครอง, ภาระจำยอม, สิทธิอาศัย, สิทธิเก็บกิน, สิทธิจำนอง, สิทธิจำนำ ฯลฯ ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะติดไปกับตัวทรัพย์ และเจ้าของสิทธิสามารถใช้สิทธินี้อ้างได้กับบุคคลทั่วไป ต่างกับสิทธิอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “บุคคลสิทธิ” ที่เป็นสิทธิที่สามารถใช้อ้างได้กับคู่สัญญาเท่านั้น เช่น สิทธิการเช่า ที่ผู้เช่าอาจยกขึ้นอ้างได้กับผู้ให้เช่าเท่านั้น แต่จำนอง ผู้รับจำนองสามารถอ้างสิทธิจำนองได้ต่อบุคคลทุกคนที่รับโอนทรัพย์ติดจำนองไปได้ เป็นต้น
จากความหมายตามกฎหมายข้างต้น ทรัพย์ จึงหมายถึง สิ่งที่มีรูปร่างเท่านั้น (ถึงแม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกาบางฉบับที่ตีความคำว่าทรัพย์ให้หมายถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง เช่น กระแสไฟฟ้าด้วย แต่นั่นก็เป็นเรื่องการตีความในความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นคดีอาญาที่ศาลตีความขยายขอบเขตของคำว่าทรัพย์ออกไปเพื่อลงโทษผู้ลักกระแสไฟฟ้าให้สมตามเจตนารมย์ของกฎหมายเท่านั้น)
ดังนั้น ทรัพยสิทธิ จึงเป็นสิทธิที่มีได้เฉพาะเหนือสิ่งที่มีรูปร่างเท่านั้น
ทรัพย์อิงสิทธิ คืออะไร?
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2562 มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. 2562 ตามกฎหมายฉบับนี้ ได้กำหนดทรัพย์ชนิดใหม่ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่วัตถุที่มีรูปร่างตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้คำนิยามไว้
โดยตามมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ความหมายทรัพย์อิงสิทธิไว้ว่า “ทรัพย์อิงสิทธิ หมายความว่า ทรัพย์สินที่อิงจากสิทธิการใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้”
เนื้อหาหลักของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้กำหนดให้สิทธิในการใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นทรัพย์ขึ้นมา มีเนื้อหาหลัก ๆ ดังนี้
- ทรัพย์อิงสิทธิ ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 30 ปี การทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์อิงสิทธิต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน
- ทรัพย์อิงสิทธิสามารถโอน ตกทอดเป็นมรดก หรือ จดทะเบียนจำนองได้
- เมื่อมีการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ใด เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นจะก่อตั้งทรัพยสิทธิใด ๆ ในอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิ
- ผู้ทรงทรัพย์อิงสิทธิมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดในอสังหาริมทรัพย์นั้นเหมือนเจ้าของ เว้นแต่สิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ตัวอย่างของทรัพย์อิงสิทธิมีอะไรบ้าง
โดยหลักแล้ว กฎหมายว่า… ด้วยทรัพย์อิงสิทธิตราขึ้นมา เพื่อให้การเช่าอสังหาริมทรัพย์ถูกใช้ประโยชน์ได้ในฐานะที่เป็นทรัพย์ชนิดหนึ่ง สามารถกำหนดมูลค่า และใช้เป็นหลักประกันได้ โอนเปลี่ยนมือกันได้อย่างอสังหาริมทรัพย์
และประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากกฎหมายฉบับนี้
จากกฎหมายฉบับนี้ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะมีทางเลือกในการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ เพื่อนำออกหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการแก้ไขข้อจำกัดของการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นเพียงบุคคลสิทธิ สามารถใช้อ้างได้ต่อคู่สัญญาเช่านั้น
การใช้ทรัพย์สิน เป็นหลักประกันในการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจหรือการยืมเงินจากสถาบันการเงิน และในปัจจุบัน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกันได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของการค้าและธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้าใจและใช้สิทธิที่มีในทรัพย์สินได้อย่างถูกต้องและมั่นคง
ทรัพย์อิงสิทธิ: ความหมายและประเภท
“ทรัพย์อิงสิทธิ” หมายถึง ทรัพย์สินที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันในการยืมเงินหรือการก่อหนี้ เพื่อให้ผู้ให้ยืมสามารถมีหลักประกันว่าในกรณีที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้ยืมจะสามารถเรียกร้องสิทธิในการเข้าครอบครองหรือขายทรัพย์สินนั้นเพื่อนำมาชำระหนี้ได้
ประเภทของทรัพย์อิงสิทธิ ได้แก่:
- อสังหาริมทรัพย์: เช่น บ้าน ที่ดิน อาคาร ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและสามารถใช้เป็นหลักประกันได้ตามกฎหมาย
- สังหาริมทรัพย์: เช่น รถยนต์, เครื่องจักร, อุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักประกันในการทำสัญญากู้ยืมได้
- สิทธิทางปัญญา: เช่น สิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้า ซึ่งในบางกรณีก็สามารถใช้เป็นหลักประกันได้
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกัน
การแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกันได้รับการควบคุมโดยกฎหมายหลายฉบับที่สำคัญ เช่น:
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม): โดยเฉพาะในส่วนของการจำนองหรือการโอนสิทธิในทรัพย์สินเพื่อให้เป็นหลักประกัน เช่น การจำนองบ้านหรือที่ดิน ซึ่งต้องมีการจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน
- กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ (Business Security Law): กฎหมายนี้มีการออกแบบมาเพื่อให้สามารถใช้ทรัพย์สินที่ไม่ได้จดทะเบียนตามแบบดั้งเดิม เช่น บัญชี receivables หรือสินค้าคงคลัง เป็นหลักประกันในการทำธุรกรรม
- กฎหมายที่เกี่ยวกับการล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการ: ในกรณีที่เจ้าหนี้ต้องการบังคับคดี หรือเรียกร้องสิทธิจากทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน
การแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกัน
การแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกันนั้นอาจเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ เช่น:
- การจำนอง: เป็นการให้สิทธิในทรัพย์สินบางประเภท เช่น ที่ดิน บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์ ให้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน โดยผู้กู้ยังคงมีสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นจนกว่าจะผิดนัดชำระหนี้
- การโอนสิทธิ: ในบางกรณี เช่น การโอนสิทธิในทรัพย์สินบางชนิด เช่น บัญชีลูกหนี้ (accounts receivable) หรือสิทธิในทรัพย์สินที่มีมูลค่า อาจใช้เป็นหลักประกันในการขอกู้ยืมเงิน
- การเช่าซื้อ: ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินต้องการนำทรัพย์สินมาทำเป็นหลักประกันโดยใช้วิธีการเช่าซื้อ หรือการทำสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อทรัพย์สินนั้นๆ ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
ข้อดีของการใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกัน
การแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกันมีข้อดีหลายประการทั้งในด้านการเงินและธุรกิจ เช่น:
- ลดความเสี่ยง: การมีหลักประกันช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากเจ้าหนี้สามารถเรียกใช้ทรัพย์สินนั้นได้
- เพิ่มโอกาสในการกู้ยืม: ผู้กู้สามารถขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการมีหลักประกันเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าหนี้
- ลดต้นทุนทางการเงิน: เมื่อมีหลักประกัน เจ้าหนี้อาจเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง เพราะลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ
สรุปส่งท้าย ทรัพย์อิงสิทธิ ใช้เป็นหลักประกันในการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกันควรทำความเข้าใจกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
การแปลงสิทธิในทรัพย์สินให้เป็นหลักประกันไม่ได้เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินและการทำธุรกรรม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารการเงินและลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
นี่เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่เรานำมาฝากกัน บทความหน้าจะเป็นเรื่องอะไร? อย่าลืม! กดเข้ามาอ่านกันน้า…
Property4Cash ยินดีให้คำปรึกษาและช่วยเพิ่มทุนให้กับทุกคนที่ต้องการเงินด่วน และต้องการเงินเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ ไม่เช็คแบล็คลิส ไม่เช็คเครดิตบูโร
อนุมัติรวดเร็วทันใจ นึกถึง ขายฝากจำนอง นึกถึง Property4Cash
Line: @Property4Cash
โทร : 0968135989
หรือส่งรายละเอียดทรัพย์มาได้ที่ https://property4cash.co/post-property/
นึกถึงขายฝาก.. นึกถึง Property 4 Cash
ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติเร็ว ถูกกฎหมาย 100%
อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : https://property4cash.co/articles/
ลงทะเบียนเป็นนักลงทุน
ส่งข้อมูลสำเร็จ ทางทีมงานจะรีบติดต่อกลับไปค่ะ